กระจกนิรภัย คือ กระจกที่ถูกทำขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ด้านความปลอดภัยและป้องกันการโจรกรรมโดยเฉพาะ มีให้เห็นกันตามอาคารสูงหรือประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งมีการแยกประเภทหลัก ๆ เป็น 2 ประเภท คือ กระจกเทมเปอร์ และกระจกลามิเนต
1. กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass)
คือ กระจกที่ถูกออกแบบให้เมื่อมันแตกออกจะกระจายออกเป็นเม็ดข้าวโพด ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ไม่โดนกระจกบาด ช่วยในเรื่องความปลอดภัย โดยส่วนมากเราจะพบกระจกนิรภัยเทมเปอร์ได้ตามตึกสูงที่มีกระจกโดยรอบหรือประตูที่ไม่มีเฟรม เช่น ประตูบานเลื่อนอัตโตมัติตามห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ
2. กระจกลามิเนต (Laminated Glass)
คือ การใช้กระจกเทมเปอร์หรือจกธรรมดาตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไปมาแปะติดกันด้วยฟิล์มไว้ระหว่างกลางกระจก เป็นกระจกนิรภัยที่ช่วยป้องกันการโจรกรรมเนื่องจากถูกติดคั่นกลางด้วยฟิล์ม เวลากระจกประเภทนี้ถูกตีหรือถูกทำลายจนแตก ตัวกระจกจะไม่ร่วงลง แต่ตัวกระจกจะถูกยึดติดอยู่กับฟิล์มนั่นเอง
กระจกนิรภัยเป็นกระจกชนิดนึงที่ไม่แตกง่ายจากแรงสั่นสะเทือนหรือแรงกระแทกสูงและไม่เป็นอัตรายต่อผู้คน แม้ว่าจะเป็นกระจกแตกก็ตาม กระจกนิรภัยที่ใช้ในอาคารสามารถทนต่อการโจมตีของกรวดที่อยู่ในพายุเฮอลิเคน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอาคารสมัยใหม่ที่มีโครงสร้างกระจกเป็นหลัก กระจกนิรภัยทั่วไป รวมถึงกระจกฟรอยล์ กระจกลามิเนตและกระจกนิรภัย เรามาดูข้อดีและข้อเสียของกระจกนิรภัยกันเถอะว่ามีอะไรบ้าง ?
ข้อดีของกระจกนิรภัย
1. ความแข็งแรงสูงกว่ากระจกธรรมดาหลายเท่าและทนทานต่อการโค้งงอ
2. ปลอดภัยต่อการใช้งาน
3. ความจุแบริ่งที่เพิ่มขึ้นของกระจกนิรภัยช่วยปรับปรุงธรรมชาติที่เปราะบางของมัน ก็จะแสดงให้เห็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ไม่มีมุมคนและเสียหายต่อรางกายมนุษย์ ลดลงอย่างมาก คุณสมบัติความเย็นและทนความร้อนของกระจกนิรภัยสูงกว่ากระจกธรรมดา 3 ถึง 5 เท่า โดยทั่วไปแล้วกระจกนิรภัยสามารถทนต่อความแตกต่างของอุณภูมิได้มากกว่า 250 องศาและมีผลอย่างมากต่อการป้องกันการแตกร้าวเนื่องจากความร้อนและเป็นหนึ่งในกระจกนิรภัย
ข้อเสียของกระจกนิรภัย
1. กระจกนิรภัยไม่สามารถตัดและประมวลผลได้อีก
2. แม้ว่าความแข็งแรงของกระจกนิรภัยจะแข็งแรงกว่ากระจกธรรมดา แต่กระจกนิรภัยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระเบิดในขณะที่กระจกธรรมดาไม่สามารถระเบิดได้ด้วยตนเอง
3. พื้นผิวของกระจกนิรภัยจะมีความผิดปกติและความหนาเล็กน้อยจะบาง เหตุผลที่ทำให้ผอมบางคือหลังจากที่แก้วถูกละลายด้วยความร้อนมันจะถูกทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วโดยแรงลม เพื่อให้ช่องว่างภายในคริสตัสของแก้วกลายเป็นขนาดเล็กและความดันจะสูงขึ้น ดังนั้นกระจกจึงบางลง หลังจากการแบ่งบรรเทา กว่าก่อนที่จะแบ่งเบาบรรเทา ภายใต้สภานการณ์ปกติกระจก 4-6 มม. จะถูกทำให้ผอมบางโดย 0.2 - 0.8 มม. หลังจากแบ่งเบาบรรเทา ระดับความจำเพาะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์
ที่มา : https://kachathailand.com